วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ว่าด้วยสะเดาอาหารเป็นยา แสนอร่อยแบบไทยๆแถมประโยชน์มากๆ
สะเดาลวกกับน้ำพริก รับประทานกับปลาย่างยุ่งเผาอร่อยและประโยชน์มากๆ
ชื่อทางพฤกษศาสตร์เรียกว่า Azadirachta Indica เป็นพื้นในวงศ์ Meliaceae ซึ่งมีญาติห่างๆเช่นต้นมะฮ๊อกกานี มะเฟืองป่า ลองกอง กระท้อน เป็นต้น
ดอกสะเดามีสีขาวนวล ใบสีเขียวเป็นมัน ใบเรียบ ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งขณะแตกใบอ่อน กลีบเลี้ยงมี5แฉก ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีเหลืองส้ม เมล็ดเดียวรูปรี ใช้ประโยชน์ได้ทั้ง ดอก ใบ ผล ก้าน กระพี้ ยาง แก่น ราก เปลือกราก น้ำมันจากเมล็ด
สะเดามีรสขมออกขม เลยมักทำกินกับเมนูน้ำปลาหวาน
สรรพคุณด้านยาสมุนไพรแผนไทย เข่นสร้างภูมิต้านทาน แก้ไข้ ช่วยย่อย ขับน้ำดี เจริญอาหาร อุจจาระคล่อง นอนหลับ
คุณค่าโดยทั่วไปเรื่องวิตามินและแร่ธาตุเช่น มี ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินเอ บี2 วิตามินซี ไนอะซิน ในใบสะเดามีสารไลโมนอยด์LimonoidและควอเซทีนQuercetin เปลือกมีสารนิมบินNimbin เมล็ดมีสารอะราดีแรคทีนAradirachtin และสารควิโนนQuinone
ประโยชน์แต่ละสารพอจะเจียระนัยให้รวบรัดได้เช่น ฟอสฟอรัสดีต่อกระดูกและฟัน ควบคุมการทำงานของไต ธาตุเหล็กก็ช่วยเม็ดเลือดแดงให้นำพาออกซิเจนได้ปกติ
สารไลโมนอยด์ก็ช่วยป้องกันมะเร็งที่มีความเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิง เช่นมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ รวมทั้งพวกมะเร็งเลือดลิวคีเมีย มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ
ยังมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา มาเลเรีย แถมยังป้องกันแมลง และเชื้อแปลกๆอย่างพยาธิทริพาโนโซมในแมลงที่ก่อโรคผิวหนัง
เช่นอาจมีอาการบวมของผิวหนัง เช่นที่เปลือกตา(ซึ่งเป็นอาการที่มักจะทำให้แพทย์นึกถึงโรคนี้ในเขตที่มีโรคนี้ชุกชุม) พอนานวันเข้าก็มีอาการลามไปอวัยวะภายใน มีอาการม้ามโต พยาธิอาจลามไปถึงหัวใจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้ ถ้าลามไปสมองก็เกิดโรคเนื้อสมองหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ แต่ไลโมนอยด์ในสะเดาที่เป็นอะราคีแรคทีนจะช่วยยับยังพยาธินี้ได้ นับว่าเป็นของวิเศษจากธรรมชาติจริงๆ
สารควอเซทีนก็ช่วย
สารนิมบีนก็ช่วย
สารอะราดีแรคทีนก็ช่วย
สารควิโนนมีประโยชน์ในเรื่อง
เขียนยังไม่เสร็จ แต่อ่านไปพลางๆก่อนนะครับ
เอกสารอ้างอิง
http://en.wikipedia.org/wiki/Chagas_disease
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11962254
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16462017
http://board.postjung.com/627873.html
http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_09_15.htm
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B2
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11228099
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22626520
วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ทับทิม ผลไม้แสนอร่อยแห่งสรวงสวรรค์ที่เจ้าแม่กวนอิมประทาน
ทับทิมหรือภาษาฝรั่งเขาเรียกว่าpomegrenateนั้น มีสารสำคัญหลักๆคือกลุ่ม punicalagin
และellagitannins ซึ่งมีประโยชน์ต่างๆดังนี้คือ
จากการศึกษาเพื่อรับประทานทับทิมหรือสารสกัดจากน้ำทับทิบเข้าไปแล้ว ร่างกายจะมีความสามารถในการ
ต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นถึง32% ซึ่งสารสกัดยังฤทธิ์คล้ายยาปฏิชีวีนะอย่างที่จัดการกับเชื้อแบคทีเรียพวก
clostidiumและกลุ่มstaph aureusที่ดื้อยาปฎิชีวนะทั่วไปได้อีก(ดีกว่ายาบางตัว) แต่ไม่ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นมิตรเป็น
โยชน์ต่อร่างกายอย่างพวกlactobacilliและbifidobacteriaเป็นยอดยาจริงๆ
จากการศึกษาโดยป้อนผลทับทิมให้หนูกินอร่อยเป็นเวลานาถึงเดือนกว่าเพื่อศึกษาว่ามีพิษภัยอะไรต่อ
หนูทดลองหรือไม่ ปรากฏว่าหนูทดลองอยู่สุขสบายดีไม่มีปัญหาเรื่องพิษจากผลทับทิมแสนอร่อย
นอกจากนี้ยังพบว่าทับทิมยังมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อมาเลเรียได้อีกด้วย
จากวารสารทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นทางการน่าเชือถือพบว่าสารสำคัญในผลทับทิมมีฤทธิ์ต้านมะเร็งชนิดต่างๆเช่น มะเร็งผิวหนัง ปอด ลำไส้ใหญ่
และต่อมลูกหมาก จากการศึกษาอย่างเป็นระเบียบวิธีที่แน่นอนพบว่าคนไข้มะเร็งต่อมลูกหมากได้รับผลดีจากการรับประทาน
ทับทิมแสนอร่อยโดยตัวชี้วัดการเป็นมะเร็งในเลือด(PSA)มีค่าลดน้อยลงถึงครึ่งหนึ่งทีเดียวในระหว่างที่รับประทานทับทิม
มีการศึกษาให้คนรับประทานน้ำทับทิมเป็นระยะเวลานานถึง3ปีในคนไข้ที่มีเส้นโลหิตแดงใหญ่ที่คอตีบตัน(carotid artery)
พบว่ามีผลดีต่อคนไข้คือทำให้เส้นเลือดลดความหนาในส่วนชั้นในของเส้นเลือดลง และความดันโลหิตลดลง ทั้งยังทำปัญหาจากไขมันที่เป็นปัญหา
ต่อเส้นโลหิตพวกLDLลดลงอีกด้วย โดยรายละเอียดของการวิจัยพบว่าเมื่อรับประทานน้ำทับทิมไปหนึ่งปีทำให้การตีบตันลดลงถึง30%
และทำให้สารPON1(paraoxonase1)เพิ่มขึ้นขึ้น83%(ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆในการป้องกันหลอดเลือดแข็งตัวจากคอเลสเตอรอล)
ทำให้ไขมันเจ้าปัญหาLDLหมดฤทธิ์ในการทำลายเส้นเลือดโดยจากการชี้วัดด้วยวิธีทางห้องทดลองพบว่าได้ผลทำให้ลดไปได้มากกว่าครึ่งเลยทีเดียว
เมื่อวัดโดยรวมแล้วร่างกายมีความสามารถต้านอนุมูลอิสระได้เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง130%เมื่อรับประทานน้ำทับทิมไปเป็นเวลาเพียง1ปี
ความดันโลหิตตัวบนลดลงไปถึง12%ซึ่งนับว่ามีผลดีมาก แต่ได้ผลดีในการลดปัญหาการตีบตันของเส้นเลือดแดงที่คอจะให้ผลสููงสุดเมื่อรับประทานไป
จนครบ1ปีคือสรุปว่าลดปัญหาเส้นเลือดแดงที่คอตีบตันลงไปได้30%ไม่มากไปกว่านั้น แต่การรับประทานน้ำทับทิมเป็นเวลานานมีผลดีในการลดปัญหา
จากไขมันที่ทำให้เส้นเลือดแข็งนั้น เมื่อทานต่อไปจนครบ3ปีจะลดเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นกว่าเมื่อสิ้นปีที่1ไปได้อีกถึง16%(แสดงว่ายิ่งทานนานๆยิ่งดี)
แบบนี้ต้องกินกันตลอดชีวิตซะแล้วมั้ง
นักวิจัยได้นำเซลล์มะเร็งเต้านมมาเพาะเลี้ยงและใส่สารสกัดน้ำทับทิมลงไปเพื่อดูว่าเซลล์มะเร็งจะตอบสนองอย่างไร พบว่าเซลล์มะเร็งแตกตายไป
ในจำนวนที่มีเห็นชัดว่าน้ำทับทิมได้ผลในการทำลายมะเร็ง
นักวิจัยเชื่อว่าผลนี้เกิดจากความเป็นพิษต่อมะเร็งและกลไกการต้านการเจริญเติบโตของมะเร็ง รวมทั้งกลไกอื่นๆอีกหลายอย่าง
นักวิจัยได้เอาเซลล์มะเร็งของปอด ต่อมลูกหมาก และลำไส้มาทดลองในทำนองเดียวกันก็พบผลดีของน้ำทับทิมคล้ายๆกับที่ทดลองในมะเร็งน้ำนม
หากไม่กล่าวถึงว่าน้ำทับทิมดีต่อหัวใจอย่างไรก็ดูจะเหมือนเป็นการบกพร่องในการนำเสนอ เพราะผลดีด้านนี้เป็นที่รู้ได้รับทราบกันมานาน
ในการวิจัยอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดแข็ง โรคความดันโลหิตสูง เพื่อศึกษาว่าทับทิมมีผลดีต่อหัวใจโดยกลไกใด
พบว่าน้ำทับทิมช่วยลดความดันโลหิตอย่างที่กล่าวมาแล้ว เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เฉพาะเจาะจงทีเดียวสำหรับป้องกันหลอดเลือดจากไขมันเจ้าปัญหา
และวิฤทธิ์กดเอ็นไซม์ACEที่เป็นตัวปัญหาทำให้ความดันโลหิตสูงและด้วยฤทธิ์นี้จึงหมายถึงว่ามันมีความสามรถในการปกป้องหัวใจและไต
(ซึ่งคล้ายๆยารักษาความดันที่คนไข้กินรักษาโรคหัวใจและความดันตัวหนึ่ง) แต่หากเป็นโรความดันโลหิตสูงแล้วก็กินยาสม่ำเสมอและหมั่นตรวจเช็คเป็น
ระยะนะครับ อาจกินผลทับทิมหรือน้ำทับทิมไว้เป็นตัวช่วยในระยะยาวจะดีกว่า
เนื่องจากตำรับแพทย์แผนจีนระบุสรรพคุณว่าทับทิมมีฤทธิ์สมานแผล ฆ่าพยาธิ ห้ามเลือด รักษาลำไส้
จึงมีวิจัยหนึ่งที่เอาเปลือกทับทิมมาทำสกัดเป็นเจลทาสมานแผลเพื่อหวังรักษาแผลคนไข้เบาหวาน โดยการวิจัยในหนูทดลองที่ถูกทำให้เป็นเบาหวาน
และทำให้มีบาดแผลชนิดที่รักษายากที่มักเรียกกันว่าแผลเบาหวานซึ่งปกติมันจะเกิดที่บริเวณเท้าของคนไข้เบาหวานที่มีอาการมากๆ
ผลการทดลองพบว่าในกลุ่มที่ทาเจลสมานแผลที่สกัดจากเปลือกทับทิมนั้นแผลหายเร็วกว่าอย่างชัดเจน จากการเอาเนื้อเยื่อไปตรวจดูว่าภายในเนื้อเยื่อ
เกิดกระบวนการอย่างไรที่ทำให้แผลหายเร็วได้ พบว่าเจลสกัดจากทับทิมมีผลสร้างเซลล์ไฟโบรบลาสที่เป็นต้นกำเนิดของการเกิดคอลลาเจนและ
มีการสร้างเส้นเลือดใหม่มาสมานแผลได้ดี นับเป็นประโยชน์แบบใช้กินและใช้ทาเลยทีเดียวคับ
ส่วนผลในการฆ่าพยาธินั้น ในตำรับแพทย์อายุเวชและแพทย์แผนจีนและไทยได้มีการนำมาทับทับมาใช้รักษาโรคท้องร่วง ลำไส้อักเสบมาช้านานแล้ว
โดยสรรพคุณในด้านฤทธิ์ฆ่าพยาธินี้จะมีมากในส่วนของเปลือกทับทิม
ขอรับประทานทับทิมให้อร่อยๆและมีประโยชน์อีกรายการนะครับ
มีการวิจัยมากมายเกี่ยวกับผลดีที่กล่าวมา แต่จากตำรับยาโบราณก็มีการพูดถึงว่าเม็ดทับทิมมีฤทธิ์ฆ่าพยาธิ เลยได้มีการววิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เหมือนกัน
พบว่านอกจากจะมีฤทธิ์ต่อพยาธิในลำไส้แล้ว ยังมีฤทธิ์ต้านพยาธิในร่างกายรวมทั้งเชื้อมาเลเรียด้วย
ref:
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20155621
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15158307
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11052704
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16379557
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/23060097
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/12224378
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18202771
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21457902
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK92772/
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/14739618
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10799367
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21910371
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18237460
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15383219
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/18167490
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15084132
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/23652054
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22580265
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/23169160
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22820239
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3657449/
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3694604/
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2989797/
http://en.wikipedia.org/wiki/Pomegranate_ellagitannin
วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556
แสนอร่อยกับยาแก้ปวด เชอรี่
มันจะดีขนาดนั้นเชียวเหรอ กินเชอรี่นี่อะนะ แก้ปวด?
เรารู้กันมาพอสมควรว่าสารฟลาโวนอยด์ในผลไม้ต่างๆนั้นมีผลดีต่อร่างกายในลักษณะต่างๆเช่นต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง เป็นต้น
แต่ถึงกับจะแก้ปวดนี่มันน่าสงสัยอยู่
มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพข้อนี้ของเชอรี่ พบว่าสารแอนโธไซยานินในเชอรี่มีประสิทธิภาพในการต้านอักเสบได้ดีมาก
นักวิจัยที่โรงพยาบาลจอห์น ฮอปคินที่มีชื่อเสียงในเมืองบัลติมอร์ได้ค้นพบว่าสารสำคัญในเชอรี่นี้มีฤทธิ์แก้ปวดจากการอักเสบได้อย่างน่าทึ่ง เพื่อเปรียบเทียบกับยาแก้อักเสบอย่างแรงที่บรรดาหมอๆสั่งจ่ายให้กับคนไข้ โดยได้มีการทำการทดลองและผลการทดลองนั้นบ่งชี้ให้เชื่อได้ว่าสารแอนโธไซยานินในเชอรี่มีความสามารถต้านทานปัญหาการอักเสบอันเกิดจากสันดาปออกซิเจนอย่างรุนแรงได้
เมื่อเอาเชอรี่ทาร์ตแสนอร่อยมารับประทาน อาการปวดกล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับการออกกำลังกายหักโหมจะบรรเทาลงไปมาก
นอกจากนี้นักวิจัยยังเชื่อว่าเชอรี่น่าจะมีผลช่วยลดปัญหาจากโรคเก๊าท์ ความเจ็บปวดข้อต่อต่างๆจากภาวะกรดยูริคสูง โดยเมื่อทำการทดลองให้บรรดาแม่บ้านสวาปามเชอรี่เข้าไปในปริมาณเยอะๆ ปรากฏว่าระดับกรดยูริคในเลือดลดไปมากพอสมควร และดัชนีชี้วัดการอักเสบของไขข้อจากการตรวจเลือดก็ลดตามลงไปด้วย อร่อยและหายปวดเก๊าท์ด้วย ดีจริงๆ
นอกจากนี้ก็อดพูดเรื่องสุดฮิตไม่ได้ คือความสามารถในการป้องกันมะเร็ง โดยนักวิจัยเชื่อว่าเชอรี่น่าจะป้องกันมะเร็งลำไส้ได้
โดยป้อนเชอรี่ให้กับหนูทดลอง ปรากฏว่าเมื่อบรรดาหนูที่กินเชอรี่จะมีตัวที่เป็นมะเร็งลำไส้น้อยกว่า และมีขนาดมะเร็งเล็กกว่าในกลุ่มที่ไม่ได้ป้อนเชอรี่ให้กิน และในกล่าวอ้างอิงถึงการวิจัยอื่นด้วยว่าผลการทดลองเรื่องฤทธิ์การป้องกันมะเร็งมีผลคล้ายๆกันในมะเร็งเต้านม
ส่วนกลไกที่ป้องกันมะเร็งก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะเชอรี่ไปมีผลในการลดโปรตีนที่มะเร็งต้องใช้ในการเติบโต
หลับสบายด้วยนะกินเชอรี่ เพราะนักวิจัยชี้ว่าเชอรี่เป็นสารไม่กี่ชนิดในธรรมชาติที่เป็นแหล่งของเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารเคมีสำคัญที่ร่างกายสร้างขึ้นโดยต่อมไพเนียล(ใต้สมอง) ซึ่งสารนี้มีฤทธิ์ในการควบคุมให้การนอนเป็นไปอย่างปกติธรรมชาติ เมลาโทนินโดยตัมันเองยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์ระบบประสาทจากภาวะอันไม่พึงประสงค์ต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารที่มีประโยชน์เหล่านี้มีฤทธิ์ในการช่วยต้านสมองเสื่อมจากความชราภาพได้อย่างดี
จึงป้องกันปัญหาความจำเสื่อมถอย สมองเสื่อม หรือบางทีอาจจะช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมอัลไซม์เมอร์ได้เลยก็ได้
สรุปว่าเชอรี่แสนอร่อยและยังมีคุณอนันต์ ยิ่งรับประทานได้เป็นประจำจะดีนักแล
แปลและเรียบเรียงจากบทความของ สตีฟ กู๊ดแมน Steve Goodman
ref:
http://www.lef.org/magazine/mag2007/dec2007_sf_cherries_01.htm
วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ไอโซไธโอไซยาไนด์ในวาซาบิ
วาซาบิ (ワサビ)
สรุปคือมีฤทธิ์ต้านมะเร็งได้หลายชนิดโดยยกการวิจัยต่างๆ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์เป็นยาปฏิชีวนะ ทั้งแบคทีเรีย ยีสต์และเชื้อราต่างๆ ลดปัญหาฟันผุจากเชื้อStrep. mutans (เลยมีไอเดียปิ๊งมาทำเป็นยาสีฟันวาซาบิ) และโรคกระเพาะอาหารที่เกิดจากเชื้อHelicobacter ซึ่งเจ้าเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์คงทนความฉุนของวาซาบิไม่ใหม่ และมีประสิทธิภาพดีขนาดที่สามารถทำลายเชื้อแม้ว่ามันจะหลบลงไปซ่อนในผนังของกระเพาะอาหาร
ฤทธิ์อีกประการหนึ่งคือฤทธิ์ละลายลิ่มเลือด คล้ายๆพวกแอสไพรินมีหมอให้รับประทานป้องกันรักษาโรคหลอดเลือดอุดตัน จึงป้องกันภาวะเสี่ยงจากโรคเส้นโลหิตแข็ง และรวมถึงโรคอัมพฤกษ์อัมพาตอันเกิดจากเส้นเลือดสมองตีบแตกหรือตันอันเป็นผลพวงตามมาอีกที
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ สำหรับภาวะหืดหอบ ไขข้อ ภูมิแพ้ และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากการบาดเจ็บภายในในภาวะต่างๆได้รวมทั้งโรคหัวใจ (อะไรมันจะดีขนาดนั้น ฟังหูไว้หูนะครับ)
มีฤทธิ์ป้องกันกระดูกผุด้วย โดยพบว่าสารบางอย่างในวาซาบิมีฤทธิ์เสริมการก่อแคลเซียมในกระดูก โดยไม่ได้มีการวิจัยออกมาว่าเป็นสารประกอบตัวใด เป็นแต่เพียงพบว่าในกระบวนการสกัดสารนี้ให้ได้ประสิทธิภาพเช่นนี้เป็นส่วนสกัดที่อยู่ในกลุ่มที่มีมวลโมเลกุลต่ำ ฤทธิ์อื่นๆที่น่าสนใจเช่น ป้องกันโรคท้องเสีย ปกป้องหน่่วยไต(nephorns)ในคนไข้เบาหวาน ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน และฤทธิ์ลดความเ ฤทธิ์ในการดีท๊อกซ์ตับ โดยสารประกอบที่น่าจะมีผลในด้านนี้ในวาซาบิคือสารซัลโฟเฟน ซึ่งพบในบล๊อคโค่ลี่เช่นกันป็นพิษระหว่างให้เคมีบำบัด
สรุปรวมๆแล้วก็คงมีส่วนมีจะเอาไปใช้ได้จริงๆอยู่บ้าง เวลากินให้อร่อยก็นึกถึงประโยชน์เหล่านี้ไว้ก็จะทำให้กินได้เอร็ดอร่อยมากขึ้น ก็อ่านๆสนุกๆ
ไร่วาซาบิ |
สดจากไร่ |
ผ่านกรรมวิธี |
พร้อมทานแล้วครับ |
Reference
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/23132316
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11237192
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15246236
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11237193
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15740020
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/15231456
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/1923907
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3466737/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)